ในบทความก่อนเราได้พูดถึง Smart TV ไปแล้วคราวนี้เราจะมาทำความรู้จักกับทีวีที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกอย่างหนึ่งนั้นคือ 3D TV ซึ่งแน่นอนกระแสในปัจจุบันกำลังมาแรงเนื่องจากช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมภาพยนต์ให้น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเหมือนกับเราถูกดูดให้เข้าไปอยู่ในโทรทัศน์ด้วย.
อะไรคือทีวีสามมิติ
3D ย่อมาจาก 3 Dimension คือมุมมองที่จะช่วยให้เราเห็นภาพตื้น ลึก หนา บาง ทำให้ภาพเป็นมิติขึ้นมาซึ่งจะเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับทีวีปกติที่เป็น 2 มิติ ทีวีสามมิติจะทำให้เราเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการ์ณนั้นจริงๆคล้ายกับสิ่งที่อยุ่ต่อหน้าเราเป็นความจริง ซึ่งแน่นอนมันช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้กับผู้ใช้งานอย่างมาก.
หลักในการสร้างภาพ 3D
โดยปกติตาซ้ายและตาขวาของเรานั้นจะมองสิ่งที่อยู่ตรงกลางตาไม่เท่ากันเนื่องจากตาของเรามีระยะห่างกันประมาณ 3-5 เซนติเมตร เมื่อเราลองหลับตาซ้ายและขวาเพื่อมองไปที่นิ้มชี้ของเราจะเห็นว่ามองในต่ำแหน่งที่ไม่เท่ากัน หลักในการสร้างภาพก็แบบเดียวกันเหมือนเรากระพริบตาซ้ายและขวาอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพหนึ่งเดียวกันเรียกว่าภาพสามมิติ.
แว่นสามมิติ (3D Glasses)
เทคโนโลยี “ภาพ 3 มิติ” ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมานานแล้ว
ในขณะเดียวกันมันก็มีเทคนิคที่ใช้หลอกสายตาให้เห็นภาพที่ฉายอยู่นั้นเกิดมี
มิติตื้นลึกชัดเบลอขึ้นมามากมายจนน่าปวดหัว
โดยแต่ละเทคนิคก็ยังจะใช้แว่นที่ไม่เหมือนกันอีกต่างหาก
ลองดูคำอธิบายพร้อมภาพประกอบง่ายๆ ต่อไปนี้
คาดว่าน่าจะช่วยให้คุณเข้าไปใจการทำงานของพวกมันได้ง่ายขึ้น.
Anaglyph (แว่นตาน้ำเงิน/แดง)
เทคนิคแรกนี้จะพบเห็นกันมาก
และทีเป็นที่คุ้นเคยมากที่สุด ซึ่งหากจะอธิบายหลักการจากภาพที่เห็นข้างล่าง
นี้ก็คือ Anaglyph จะใช้กล้องฉายภาพ 2 ตัว ฉายภาพที่มีสีสัน
(น้ำเงินกับแดง) และมุมมองที่แตกต่างกัน
(เหมือนกับเวลาเราปิดตาแล้วมองทีละข้าง
ภาพที่เห็นจะมีมุมทีแตกต่างกันเล็กน้อย) ส่วนแว่นตาทำหน้าทีกรองภาพแต่ละสี
ออกไป เช่น แว่นตาสีแดงจะกรองภาพสีแดงออกไปให้เห็นแต่ภาพสีน้ำเงิน
ส่วนแว่นตาสีน้ำเงินก็จะกรองภาพส่วนที่เป็นสีแดงออกไป
ทำให้ตาทั้งสองเห็นภาพที่แตกต่างกัน
สมองจะตีความด้วยการรวมภาพที่มองเห็นแตกต่างกันสองภาพ
อีกทั้งมีมุมแตกต่างกันกลายเป็นภาพทีมิติขึ้นมา
(อีกคำอธิบายหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ภาพสีแดงจะตกหลังจอตา
ส่วนภาพสีน้ำเงินจะตกกระทบก่อนถึงจอตา
ความแตกต่างกันของการตกกระทบภาพทั้งสองภาพบนจอตา
เมื่อมองเห็นพร้อมกันทำให้เกิดมีติดลึกตื้นที่ไม่เท่ากัน
เลยเห็นเป็นภาพลอยออกมาได้นั่นเอง).
แว่น 3 มิติ ชนิด Polarized 3-D Glasses
Polarized 3-D Glasses หลักการจะคล้ายกับ Anaglyph
โดยเฉพาะการฉายภาพจากล้องสองตัวด้วยภาพที่แตกต่างกัน
แต่เทคนิคนี้ไม่ได้ใช้สีเป็นตัวแบ่งภาพที่ต่างกัน
แต่จะใช้แนวการวางตัวของช่องการมองเห็นแต่ละภาพที่ฉายซ้อนกันอยู่ เช่น
จากในภาพแว่นตาข้างซ้ายจะเห็นมองเป็นภาพที่ผ่านช่องในแนวตั้ง
ส่วนตาขวาจะมองเห็นภาพที่ช่องในแนวนอน ซึ่งทั้งสองภาพมีมุมมองที่แตกต่างกัน
ดังนั้นมันก็จะเข้าหลักการเดิม นั่นก็คือ
การทำให้ตาแต่ละข้างของเรามองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกัน
เมื่อสมองพยายามรวมภาพทั้งสองที่มีความแตกต่างของมุมมอง
ภาพที่เห็นจึงเกิดเป็น 3 มิติขึ้นมา.
โดยส่วนใหญ่เทคโนโลยีทีวี 3 มิติแบบทั่วไปหรือที่เรียกว่า Shutter Glass ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดในหลายๆด้าน เทคโนโลยี ที่เรียกว่า Film Patterned Retarder หรือเรียกสั้นๆ ว่า
FPR ซึ่งเทคโนโลยี FPR นี้ให้ภาพ 3
มิติที่เป็นธรรมชาติมากกว่าและให้สีสันที่สว่างด้วยวิธีที่ทำให้ภาพ 3
มิติลอยออกมาได้มากที่สุด LG CINEMA 3D
จึงเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปมากกว่าทีวี 3 มิติแบบทั่วไป เป็นอย่างมาก
ถือเป็นทีวี 3 มิติแห่งอนาคตอย่างแท้จริง.
Parallax Barrier เทคนิคนี้ผู้ชมไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตา
ซึ่งหากจำกันได้ ในงาน commart เมื่อปลายปี ได้มีการนำกล้อง Fujifilm
ที่สามารถมองเห็นภาพถ่ายบน LCD ด้านหลังกล้องเป็น 3D ได้
โดยไม่ต้องใส่แว่นตา นี่ล่ะครับตัวอย่างของเทคนิค Palarax
ซึ่งหากจะอธิบายจากภาพที่เห็นก็คือ
มันจะใช้วิธีแบ่งภาพที่มีมุมองต่างกันเป็นแท่งๆ วางตัวสลับกัน
(เหมือนเส้นสแกนในทีวี แต่ทีวีจะใช้ภาพมุมมองเดียวกัน) โดยมี Parallax
Barrier
ที่เป็นชั้นกรองพิเศษสามารถแบ่งแต่ละส่วนของภาพให้ตาแต่ละข้างที่มองผ่าน
ชั้นนี้มองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกันได้พร้อมกัน
เมื่อสมองพยายามรวมภาพที่มีมุมมองต่างกันให้เป็นภาพเดียว เราก็จะมองเห็น
เป็นภาพสามมิตินั่นเอง.
วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558
การเลือกซื้อทีวีให้ตรงกับการใช้งาน 2
ป้ายกำกับ:
3D TV lazada,
การเลือกซื้อทีวี,
ซื้อทีวี lazada,
ทีวีราคาถูก,
ทีวีลดราคา,
ทีวีสามมิติ
การเลือกซื้อทีวีให้ตรงกับการใช้งาน 2
ในบทความก่อนเราได้พูดถึง Smart TV ไปแล้วคราวนี้เราจะมาทำความรู้จักกับทีวีที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกอย่างหนึ่งนั้นคือ 3D TV ซึ่งแน่นอนกระแสในปัจจุบันกำลังมาแรงเนื่องจากช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมภาพยนต์ให้น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเหมือนกับเราถูกดูดให้เข้าไปอยู่ในโทรทัศน์ด้วย.
อะไรคือทีวีสามมิติ
3D ย่อมาจาก 3 Dimension คือมุมมองที่จะช่วยให้เราเห็นภาพตื้น ลึก หนา บาง ทำให้ภาพเป็นมิติขึ้นมาซึ่งจะเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับทีวีปกติที่เป็น 2 มิติ ทีวีสามมิติจะทำให้เราเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการ์ณนั้นจริงๆคล้ายกับสิ่งที่อยุ่ต่อหน้าเราเป็นความจริง ซึ่งแน่นอนมันช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้กับผู้ใช้งานอย่างมาก.
หลักในการสร้างภาพ 3D
โดยปกติตาซ้ายและตาขวาของเรานั้นจะมองสิ่งที่อยู่ตรงกลางตาไม่เท่ากันเนื่องจากตาของเรามีระยะห่างกันประมาณ 3-5 เซนติเมตร เมื่อเราลองหลับตาซ้ายและขวาเพื่อมองไปที่นิ้มชี้ของเราจะเห็นว่ามองในต่ำแหน่งที่ไม่เท่ากัน หลักในการสร้างภาพก็แบบเดียวกันเหมือนเรากระพริบตาซ้ายและขวาอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพหนึ่งเดียวกันเรียกว่าภาพสามมิติ.
แว่นสามมิติ (3D Glasses)
เทคโนโลยี “ภาพ 3 มิติ” ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมานานแล้ว ในขณะเดียวกันมันก็มีเทคนิคที่ใช้หลอกสายตาให้เห็นภาพที่ฉายอยู่นั้นเกิดมี มิติตื้นลึกชัดเบลอขึ้นมามากมายจนน่าปวดหัว โดยแต่ละเทคนิคก็ยังจะใช้แว่นที่ไม่เหมือนกันอีกต่างหาก ลองดูคำอธิบายพร้อมภาพประกอบง่ายๆ ต่อไปนี้ คาดว่าน่าจะช่วยให้คุณเข้าไปใจการทำงานของพวกมันได้ง่ายขึ้น.
Anaglyph (แว่นตาน้ำเงิน/แดง) เทคนิคแรกนี้จะพบเห็นกันมาก และทีเป็นที่คุ้นเคยมากที่สุด ซึ่งหากจะอธิบายหลักการจากภาพที่เห็นข้างล่าง นี้ก็คือ Anaglyph จะใช้กล้องฉายภาพ 2 ตัว ฉายภาพที่มีสีสัน (น้ำเงินกับแดง) และมุมมองที่แตกต่างกัน (เหมือนกับเวลาเราปิดตาแล้วมองทีละข้าง ภาพที่เห็นจะมีมุมทีแตกต่างกันเล็กน้อย) ส่วนแว่นตาทำหน้าทีกรองภาพแต่ละสี ออกไป เช่น แว่นตาสีแดงจะกรองภาพสีแดงออกไปให้เห็นแต่ภาพสีน้ำเงิน ส่วนแว่นตาสีน้ำเงินก็จะกรองภาพส่วนที่เป็นสีแดงออกไป ทำให้ตาทั้งสองเห็นภาพที่แตกต่างกัน สมองจะตีความด้วยการรวมภาพที่มองเห็นแตกต่างกันสองภาพ อีกทั้งมีมุมแตกต่างกันกลายเป็นภาพทีมิติขึ้นมา (อีกคำอธิบายหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ภาพสีแดงจะตกหลังจอตา ส่วนภาพสีน้ำเงินจะตกกระทบก่อนถึงจอตา ความแตกต่างกันของการตกกระทบภาพทั้งสองภาพบนจอตา เมื่อมองเห็นพร้อมกันทำให้เกิดมีติดลึกตื้นที่ไม่เท่ากัน เลยเห็นเป็นภาพลอยออกมาได้นั่นเอง).
แว่น 3 มิติ ชนิด Polarized 3-D Glasses
Polarized 3-D Glasses หลักการจะคล้ายกับ Anaglyph โดยเฉพาะการฉายภาพจากล้องสองตัวด้วยภาพที่แตกต่างกัน แต่เทคนิคนี้ไม่ได้ใช้สีเป็นตัวแบ่งภาพที่ต่างกัน แต่จะใช้แนวการวางตัวของช่องการมองเห็นแต่ละภาพที่ฉายซ้อนกันอยู่ เช่น จากในภาพแว่นตาข้างซ้ายจะเห็นมองเป็นภาพที่ผ่านช่องในแนวตั้ง ส่วนตาขวาจะมองเห็นภาพที่ช่องในแนวนอน ซึ่งทั้งสองภาพมีมุมมองที่แตกต่างกัน ดังนั้นมันก็จะเข้าหลักการเดิม นั่นก็คือ การทำให้ตาแต่ละข้างของเรามองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกัน เมื่อสมองพยายามรวมภาพทั้งสองที่มีความแตกต่างของมุมมอง ภาพที่เห็นจึงเกิดเป็น 3 มิติขึ้นมา.
โดยส่วนใหญ่เทคโนโลยีทีวี 3 มิติแบบทั่วไปหรือที่เรียกว่า Shutter Glass ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดในหลายๆด้าน เทคโนโลยี ที่เรียกว่า Film Patterned Retarder หรือเรียกสั้นๆ ว่า FPR ซึ่งเทคโนโลยี FPR นี้ให้ภาพ 3 มิติที่เป็นธรรมชาติมากกว่าและให้สีสันที่สว่างด้วยวิธีที่ทำให้ภาพ 3 มิติลอยออกมาได้มากที่สุด LG CINEMA 3D จึงเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปมากกว่าทีวี 3 มิติแบบทั่วไป เป็นอย่างมาก ถือเป็นทีวี 3 มิติแห่งอนาคตอย่างแท้จริง.
Parallax Barrier เทคนิคนี้ผู้ชมไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตา ซึ่งหากจำกันได้ ในงาน commart เมื่อปลายปี ได้มีการนำกล้อง Fujifilm ที่สามารถมองเห็นภาพถ่ายบน LCD ด้านหลังกล้องเป็น 3D ได้ โดยไม่ต้องใส่แว่นตา นี่ล่ะครับตัวอย่างของเทคนิค Palarax ซึ่งหากจะอธิบายจากภาพที่เห็นก็คือ มันจะใช้วิธีแบ่งภาพที่มีมุมองต่างกันเป็นแท่งๆ วางตัวสลับกัน (เหมือนเส้นสแกนในทีวี แต่ทีวีจะใช้ภาพมุมมองเดียวกัน) โดยมี Parallax Barrier ที่เป็นชั้นกรองพิเศษสามารถแบ่งแต่ละส่วนของภาพให้ตาแต่ละข้างที่มองผ่าน ชั้นนี้มองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกันได้พร้อมกัน เมื่อสมองพยายามรวมภาพที่มีมุมมองต่างกันให้เป็นภาพเดียว เราก็จะมองเห็น เป็นภาพสามมิตินั่นเอง.
อะไรคือทีวีสามมิติ
3D ย่อมาจาก 3 Dimension คือมุมมองที่จะช่วยให้เราเห็นภาพตื้น ลึก หนา บาง ทำให้ภาพเป็นมิติขึ้นมาซึ่งจะเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับทีวีปกติที่เป็น 2 มิติ ทีวีสามมิติจะทำให้เราเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการ์ณนั้นจริงๆคล้ายกับสิ่งที่อยุ่ต่อหน้าเราเป็นความจริง ซึ่งแน่นอนมันช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้กับผู้ใช้งานอย่างมาก.
หลักในการสร้างภาพ 3D
โดยปกติตาซ้ายและตาขวาของเรานั้นจะมองสิ่งที่อยู่ตรงกลางตาไม่เท่ากันเนื่องจากตาของเรามีระยะห่างกันประมาณ 3-5 เซนติเมตร เมื่อเราลองหลับตาซ้ายและขวาเพื่อมองไปที่นิ้มชี้ของเราจะเห็นว่ามองในต่ำแหน่งที่ไม่เท่ากัน หลักในการสร้างภาพก็แบบเดียวกันเหมือนเรากระพริบตาซ้ายและขวาอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพหนึ่งเดียวกันเรียกว่าภาพสามมิติ.
แว่นสามมิติ (3D Glasses)
เทคโนโลยี “ภาพ 3 มิติ” ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมานานแล้ว ในขณะเดียวกันมันก็มีเทคนิคที่ใช้หลอกสายตาให้เห็นภาพที่ฉายอยู่นั้นเกิดมี มิติตื้นลึกชัดเบลอขึ้นมามากมายจนน่าปวดหัว โดยแต่ละเทคนิคก็ยังจะใช้แว่นที่ไม่เหมือนกันอีกต่างหาก ลองดูคำอธิบายพร้อมภาพประกอบง่ายๆ ต่อไปนี้ คาดว่าน่าจะช่วยให้คุณเข้าไปใจการทำงานของพวกมันได้ง่ายขึ้น.
Anaglyph (แว่นตาน้ำเงิน/แดง) เทคนิคแรกนี้จะพบเห็นกันมาก และทีเป็นที่คุ้นเคยมากที่สุด ซึ่งหากจะอธิบายหลักการจากภาพที่เห็นข้างล่าง นี้ก็คือ Anaglyph จะใช้กล้องฉายภาพ 2 ตัว ฉายภาพที่มีสีสัน (น้ำเงินกับแดง) และมุมมองที่แตกต่างกัน (เหมือนกับเวลาเราปิดตาแล้วมองทีละข้าง ภาพที่เห็นจะมีมุมทีแตกต่างกันเล็กน้อย) ส่วนแว่นตาทำหน้าทีกรองภาพแต่ละสี ออกไป เช่น แว่นตาสีแดงจะกรองภาพสีแดงออกไปให้เห็นแต่ภาพสีน้ำเงิน ส่วนแว่นตาสีน้ำเงินก็จะกรองภาพส่วนที่เป็นสีแดงออกไป ทำให้ตาทั้งสองเห็นภาพที่แตกต่างกัน สมองจะตีความด้วยการรวมภาพที่มองเห็นแตกต่างกันสองภาพ อีกทั้งมีมุมแตกต่างกันกลายเป็นภาพทีมิติขึ้นมา (อีกคำอธิบายหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ภาพสีแดงจะตกหลังจอตา ส่วนภาพสีน้ำเงินจะตกกระทบก่อนถึงจอตา ความแตกต่างกันของการตกกระทบภาพทั้งสองภาพบนจอตา เมื่อมองเห็นพร้อมกันทำให้เกิดมีติดลึกตื้นที่ไม่เท่ากัน เลยเห็นเป็นภาพลอยออกมาได้นั่นเอง).
แว่น 3 มิติ ชนิด Polarized 3-D Glasses
Polarized 3-D Glasses หลักการจะคล้ายกับ Anaglyph โดยเฉพาะการฉายภาพจากล้องสองตัวด้วยภาพที่แตกต่างกัน แต่เทคนิคนี้ไม่ได้ใช้สีเป็นตัวแบ่งภาพที่ต่างกัน แต่จะใช้แนวการวางตัวของช่องการมองเห็นแต่ละภาพที่ฉายซ้อนกันอยู่ เช่น จากในภาพแว่นตาข้างซ้ายจะเห็นมองเป็นภาพที่ผ่านช่องในแนวตั้ง ส่วนตาขวาจะมองเห็นภาพที่ช่องในแนวนอน ซึ่งทั้งสองภาพมีมุมมองที่แตกต่างกัน ดังนั้นมันก็จะเข้าหลักการเดิม นั่นก็คือ การทำให้ตาแต่ละข้างของเรามองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกัน เมื่อสมองพยายามรวมภาพทั้งสองที่มีความแตกต่างของมุมมอง ภาพที่เห็นจึงเกิดเป็น 3 มิติขึ้นมา.
โดยส่วนใหญ่เทคโนโลยีทีวี 3 มิติแบบทั่วไปหรือที่เรียกว่า Shutter Glass ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดในหลายๆด้าน เทคโนโลยี ที่เรียกว่า Film Patterned Retarder หรือเรียกสั้นๆ ว่า FPR ซึ่งเทคโนโลยี FPR นี้ให้ภาพ 3 มิติที่เป็นธรรมชาติมากกว่าและให้สีสันที่สว่างด้วยวิธีที่ทำให้ภาพ 3 มิติลอยออกมาได้มากที่สุด LG CINEMA 3D จึงเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปมากกว่าทีวี 3 มิติแบบทั่วไป เป็นอย่างมาก ถือเป็นทีวี 3 มิติแห่งอนาคตอย่างแท้จริง.
Parallax Barrier เทคนิคนี้ผู้ชมไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตา ซึ่งหากจำกันได้ ในงาน commart เมื่อปลายปี ได้มีการนำกล้อง Fujifilm ที่สามารถมองเห็นภาพถ่ายบน LCD ด้านหลังกล้องเป็น 3D ได้ โดยไม่ต้องใส่แว่นตา นี่ล่ะครับตัวอย่างของเทคนิค Palarax ซึ่งหากจะอธิบายจากภาพที่เห็นก็คือ มันจะใช้วิธีแบ่งภาพที่มีมุมองต่างกันเป็นแท่งๆ วางตัวสลับกัน (เหมือนเส้นสแกนในทีวี แต่ทีวีจะใช้ภาพมุมมองเดียวกัน) โดยมี Parallax Barrier ที่เป็นชั้นกรองพิเศษสามารถแบ่งแต่ละส่วนของภาพให้ตาแต่ละข้างที่มองผ่าน ชั้นนี้มองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกันได้พร้อมกัน เมื่อสมองพยายามรวมภาพที่มีมุมมองต่างกันให้เป็นภาพเดียว เราก็จะมองเห็น เป็นภาพสามมิตินั่นเอง.